ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ได้แก่ ศาสตราจารย์นายแพทย์เดวิด ดี. โฮ (Professor David D. Ho) จากสหรัฐอเมริกา และนายแพทย์แอนโทนี ฟอซี (Dr.Anthony Fauci) จากสหรัฐอเมริกา สาขาการสาธารณสุข ได้แก่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ปีเตอร์ ปิอ๊อต (ProfessorPeter Piot) จากราชอาณาจักรเบลเยี่ยม และนายแพทย์จิม ยอง คิม (Dr.Jim Yong Kim) จากสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2556 ทั้งสิ้น 64 ราย จาก 28 ประเทศ คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการได้พิจารณากลั่นกรอง และคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ ได้พิจารณาจากผู้ได้รับการเสนอชื่อรวม 3 ปี คือปี 2556, 2555, 2554 และนำเสนอต่อคณะกรรมการมูลนิธิฯ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน ให้พิจารณาตัดสินเป็นขั้นสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556
รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล เป็นรางวัลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในโอกาสจัดงานเฉลิมฉลอง 100 ปี แห่งการพระราชสมภพ 1 มกราคม 2535 ดำเนินงานโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน มอบรางวัลให้แก่บุคคลหรือองค์กรทั่วโลกที่มีผลงานดีเด่นเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทางด้านการแพทย์ 1 รางวัล และด้านการสาธารณสุข 1 รางวัล เป็นประจำทุกปีตลอดมา แต่ละรางวัลประกอบด้วย เหรียญรางวัล, ประกาศนียบัตร และเงินรางวัล 100,000 เหรียญสหรัฐ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2556 ในวันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ.2557 เวลา 17.30 น. ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2557 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะผู้ริเริ่มรางวัลอันทรงเกียรติจะเชิญผู้รับพระราชทานรางวัลฯ มาเยือนและแสดงปาฐกถา เกียรติยศ ในผลงานที่ได้รับด้วย
ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2556
สาขาการแพทย์
ผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหารศูนย์วิจัยโรคเอดส์เอรอนไดอะมอน
นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
ศ.นพ. เดวิด ดี. โฮ เป็นบุคคลแรกที่ผลักดันให้ใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีชนิดผสมหลายตัวในการรักษาผู้ได้รับเชื้อเอชไอวี หรือที่เรียกว่า ฮาร์ท (HAART : Highly Active Antiretroviral Therapy)โดยอาศัยผลการศึกษาวิจัยที่พบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวี มีการแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่มีอาการ ทำให้เข้าใจกลไกการเกิดโรคในผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ นำไปสู่แนวคิดการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีชนิดผสมหลายตัว ตั้งแต่ระยะแรกที่ตรวจพบ เพื่อควบคุมไวรัสไม่ให้แบ่งตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ
รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา
นพ. แอนโทนี ฟอซี มีผลงานวิจัยที่โดดเด่นในการเข้าใจกลไกการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยแสดงให้เห็นว่า เชื้อไวรัสเอชไอวี มีการแบ่งตัวในต่อมน้ำเหลืองของผู้ได้รับเชื้ออย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ได้รับเชื้อไวรัสจะไม่แสดงอาการ แต่พบว่าจำนวนเชื้อไวรัสเอชไอวีในต่อมน้ำเหลืองมีระดับสูง ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ส่งผลให้ผู้ได้รับเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำ เจ็บป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งนำไปสู่แนวคิดในการให้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิดผสมหลายตัว (HAART) ตั้งแต่ระยะแรกเพื่อควบคุมไวรัสไม่ให้แบ่งตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ประเมินผลได้จากการตรวจวัดจำนวนเชื้อไวรัส (HIV Viral load) และจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว CD 4
แรงผลักดันและแนวคิดของ ศ.นพ.เดวิด ดี. โฮ และ นพ.แอนโทนี ฟอซี เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายและเป็นมาตรฐานการรักษาผู้ได้รับเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน เปลี่ยนสภาพจากโรครอวันตาย มาเป็นโรคเรื้อรัง ช่วยชีวิตผู้ได้รับเชื้อเอชไอวีได้หลายสิบล้านคนทั่วโลก
สาขาการสาธารณสุข
ผู้อำนวยการ วิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อน
มหาวิทยาลัยลอนดอน สหราชอาณาจักร
อดีตผู้อำนวยการบริหารโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติราชอาณาจักรเบลเยี่ยม
ศ.นพ.ปีเตอร์ ปิอ็อต เริ่มมีบทบาทในการศึกษาระบาดวิทยาของโรคเอดส์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เมื่อครั้งช่วยงานในโครงการซีด้า (Project SIDA) ซึ่งเป็นโครงการวิจัยโรคเอดส์ โครงการแรกในอัฟริกา ต่อมาได้ร่วมงานกับองค์การอนามัยโลกและดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการบริหารโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติคนแรก ระหว่างปี พ.ศ. 2537 – 2551 ได้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวรณรงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักว่าโรคเอดส์จะแพร่กระจายและเป็นภัยร้ายแรงในอนาคตผลักดันให้นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ ผู้นำทางศาสนา ยอมรับเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาประเทศ ให้มีการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ รณรงค์การป้องกันและกดดันให้ปรับลดราคายาต้านไวรัส ทำให้มีการเข้าถึงการรักษาผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีในประเทศยากจนได้มากขึ้น
อดีตผู้อำนวยการ แผนกเอชไอวี/เอดส์ องค์การอนามัยโลก สหรัฐอเมริกา
นพ.จิม ยอง คิม ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกเอชไอวี/เอดส์ องค์การอนามัยโลก ระหว่างปี พ.ศ.2547-2549 เป็นผู้นำในการผลักดันให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างถ้วนหน้า (universal access to anti-retrovirals) โดยการผลักดัน “แผนริเริ่ม 3 ใน 5” คือผลักดันให้ผู้ได้รับเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประเทศรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง ให้ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีชนิดผสมหลายตัว(HARRT) จำนวน 3 ล้านคน ภายในปี ค.ศ.2005 ซึ่งสามารถบรรลุผลได้ในปี คศ.2007 โดยประสานกับโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆทำการระดมทุน ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรและเทคนิคในการตรวจรักษา รวมทั้งการปรับลดราคายาและการยอมรับยาที่ผลิตในบางประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการรักษา ป้องกัน และการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้มากยิ่งขึ้น
ผลการดำเนินงานของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ปีเตอร์ ปิอ็อต ขณะเป็นผู้อำนวยการบริหารโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ และนายแพทย์จิม ยอง คิม ขณะเป็นผู้อำนวยการแผนกเอชไอวี/เอดส์ องค์การอนามัยโลก ทำให้การรักษาและการป้องกันโรคเอดส์มีความสำคัญและกระจายแพร่หลายกว้างขวางทั่วโลก ช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้หลายล้านคน เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก